วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

ข่าวเคมี#11

ระทึก! สารเคมีรั่วกลางกรุง กันเด็ก ชาวบ้าน ออกนอกพท.

ระทึก! สารเคมีรั่วกลางกรุง กันเด็ก ชาวบ้าน ออกนอกพท.

สน.บางชัน รับแจ้งเหตุสารเคมีรั่วไหลภายใน ซ.รามคำแหง 104 แขวง-เขตสะพานสูง กทม.จึงเดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ เลขที่ 48/293 สูง 4 ชั้น ของบริษัทบิวตี้ โปรเฟสเชอน่อล บิวซีเนส จำกัด เป็นโกดังเก็บผลิตภัณฑ์กัดสีผม พบกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาภายในชั้น 3 นอกจากนี้ยังมีกลิ่นสารเคมีฟุ้งไปทั่ว ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้กั้นพื้นที่และแจกหน้ากากอนามัยปิดปากให้กับเจ้าหน้าที่ สื่อมวลชนและประชาชนภายในซ.รามฯ 104
ทั้งนี้ บริเวณใกล้เคียงมีโรงเรียนอนุบาลเด็กเล็กจนถึงป.6 ทางเจ้าหน้าที่ได้สั่งให้โรงเรียนปิดการเรียนชั่วคราวเพื่ออพยพเด็กให้ออกจากพื้นที่โดยเร็ว เป็นเหตุให้การจราจรบริเวณดังกล่าวติดเป็นแนวยาว
จากการสอบสวน นายฉลองชัย ภูมิมาลา อายุ 52 ปี ผอ.ฝ่ายบุคคลของบริษัทดังกล่าวให้การว่า อาคารดังกล่าวเป็นโกดังเก็บกล่องผลิตภัณฑ์กัดสีผมก่อนที่จะเดินทางไปทำงานที่บริษัทซึ่งอยู่ห่างจากโกดังซอยเดียวกันประมาณ 200 เมตร และวันนี้ได้ติดต่อบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปทำลาย แต่ช่วงเวลาประมาณ 08.00 น. เจ้าหน้าที่ได้เปิดประตูออกมาได้กลิ่นสารเคมีและเห็นกลุ่มควันลอยคลุ้งออกมาจากชั้น 3 จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงทันที
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปขนย้ายกล่องเก็บผลิตภัณฑ์จากชั้น 3 นำมาใส่ไว้ในถังขยะสีเขียวของทางกรุงเทพมหานคร โดยได้ฉีดน้ำเข้าไปในถังด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปฏิกิริยา โดยจะนำไปทำลายที่จ.ราชบุรี
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#10

คันดินสะพานนวลฉวีพัง สารเคมีรั่ว อพยพวุ่น!

คันดินสะพานนวลฉวีพัง สารเคมีรั่ว อพยพวุ่น!

(26 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เกิดเหตุคันดินบริเวณสะพานนนทบุรี หรือสะพานนวลฉวี ฝั่งแยกสวนสมเด็จ จ.ปทุมธานี เกิดรอยรั่วความยาวประมาณ 3 เมตร ส่งผลให้น้ำได้ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ดังกล่าว
นอกจากนี้น้ำยังเข้าท่วมโรงงานย่านถนนติวานนท์ ใกล้สะพานนวลฉวี ทำให้เกิดสารเคมีจากโรงงานรั่วไหลปะปนกับน้ำ มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสูดดมสารพิษ 4 ราย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลชลประทานแล้ว ขณะที่พื้นที่ที่เกิดเหตุ มีบ้านเรือนประชาชนประมาณ 25 หลังคาเรือน ซึ่งได้มีการอพยพออกจากพื้นที่แล้วทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นกลิ่นสารเคมีที่รั่วไหลเริ่มเจือจางลงไปบ้างแล้ว แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยังคงต้องรอให้สารเคมีอยู่ในระดับปลอดภัย ก่อนจะเข้าดำเนินการซ่อมแซมคันดินที่เสียหายบริเวณสะพานนวลฉวีต่อไป
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#9

สารเคมีกัดสีผมรั่ว ซ.รามฯ 104 อพยพคนวุ่น

สารเคมีกัดสีผมรั่ว ซ.รามฯ 104 อพยพคนวุ่น

เกิดเหตุสารเคมีที่ใช้ทำน้ำยากัดสีผมของโรงงานใน ซ.รามคำแหง 104 รั่ว ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องอพยพประชาชนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงเป็นการด่วน
เจ้าหน้าที่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานคร เร่งฉีดน้ำทำลายสารเคมีที่นำไปใช้ทำน้ำยากัดสีผม หลังเกิดสารเคมีไฟร์โซเดียมซัลเฟตกว่า 500 ลัง รั่วในโกดังเก็บสินค้า ซึ่งดัดแปลงมาจากอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ในซอยรามคำแหง 104 เจ้าหน้าที่ต้องสวมชุดป้องกันเข้าไปฉีดน้ำควบคุมการระเหยของสาร และกั้นพื้นที่ภายในซอยเป็นพื้นที่อันตราย พร้อมอพยพประชาชนออกทั้งหมด เนื่องจากหากสูดดมจะส่งผลกระทบต่อปอดและระบบทางเดินหายใจ มีอาการแสบตา มึนศีรษะ และคันตามผิวหนัง โดยจากการวัดระดับพบว่าอยู่ในระดับ 6 ถือว่าเป็นอันตราย แต่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง นอกจากนี้ ยังแจกหน้ากากป้องกันการสูดดมสารเคมีโดยตรงให้ประชาชนที่อาศัยในละแวกใกล้เคียง
ที่ตั้งของโรงงานยังอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนโสมาภานุสสรณ์ ทางโรงเรียนจึงสั่งปิดและอพยพเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 1 ถึง ป.6 ออกจากพื้นที่ และแจ้งผู้ปกครองมารับกลับ ส่วนวันพรุ่งนี้ (23 ก.ย.) จะสามารถเปิดการเรียนการสอนได้หรือไม่ ต้องรอคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#8

ระทึก! สารเคมีในโรงงานรั่ว พนักงานหนีตายอลหม่าน

ระทึก! สารเคมีในโรงงานรั่ว พนักงานหนีตายอลหม่าน

เกิดเหตุสารเคมีในโรงงานรั่ว พนักงานวิ่งหนีตาย เจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุเอาไว้ได้ทัน จากเหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด
เวลา 11.00 น. วันที่ 25 ต.ค. 60 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดอนหัวฬ่อ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยไตรคุณธรรมว่า มีเหตุสารเคมีรั่วไหล บริษัทไทยเมกิ 2012 จำกัด เลขที่ 700/676 ม.7 ต.ดอนหัวฬ่อ อ.เมือง จ.ชลบุรี  มีพนักงานจำนวนมาก จึงรุดไปตรวจสอบทีเกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุเป็นโรงงานเคลือบโลหะที่แท็งก์เก็บสารเคมีภายในโรงงาน มีสารสีเหลืองมีกลิ่นเหม็น พนักงานจำนวนกว่า 130 คน วิ่งหนีตายออกมานอกโรงงาน บางรายมีที่สูบดมเข้าไปมีอาการหน้ามืดเวียนหัว เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นการเร่งด่วน
จากการสอบตรวจพบว่าสารเคมีดังกล่าวเป็นกรดไนตริกเป็นของเหลวไม่มีสี กลิ่นฉุนรุนแรง และมีความเป็นกรดสูง จึงอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังและผู้ที่สูดดม เบื้องต้นตอนนี้ทางโรงงานสามารถควบคุมการรั่วไหลได้แล้ว จากเหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#7

สารเคมีรั่วในสระว่ายน้ำ หามเด็กส่ง รพ. นับสิบราย

สารเคมีรั่วในสระว่ายน้ำ หามเด็กส่ง รพ. นับสิบราย

เหตุดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อเวลา 20.00 น. ของวันที่ 13 มี.ค. เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพต้องระดมกำลังมาช่วยเหลือเด็กนักเรียนกว่า 20 คน ที่สำลักกลิ่นเหม็นของสารเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาดสระว่ายน้ำ ภายในสนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น หลังสารเคมีที่ผสมเตรียมไว้เกิดปฏิกิริยารั่วออกมา ขณะที่เด็กกำลังเรียนว่ายน้ำภาคฤดูร้อน  โดยเจ้าที่กู้ภัยนำเด็กที่สูดกลิ่นเหม็นของสารเคมีนำส่งโรงพยาบาลขอนแก่น จำนวน 9 ราย ส่วนที่เหลือผู้ปกครองได้มารับตัวนำกลับบ้าน
สาเหตุเบื้องต้นเกิดจากถังผสมสารเคมีสำหรับใช้ในการตกตะกอน ที่เจ้าหน้าที่ดูแลสระว่ายน้ำผสมไว้สารเคมีสำหรับให้น้ำตกตะกอน ประกอบด้วย โซดาแอช จุนสี สารส้ม ได้ทำปฏิกิริยาขึ้น แล้วเกิดควันพุ่งออกจากถังผสมสารเคมี จึงทำให้กลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วสระว่ายน้ำที่ขณะนั้นมีเด็กกำลังเรียนว่ายน้ำ
ทางเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย เขต6 ขอนแก่น ได้นำเครื่องดูดกลิ่นออกจากตัวอาคาร เพื่อเตรียมเข้าไปดูจุดห้องผสมสารเคมี โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงสามารถไล่กลิ่นเหม็นคลอรีนออกจากพื้นที่สระว่ายได้ทั้งหมด
ตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น เข้าตรวจสอบสระว่ายน้ำ พร้อมกับสอบปากคำคนดูแลวระว่ายน้ำเพิ่มเติม  พร้อมเข้าไปตรวจสอบภายในสระว่ายน้ำ พบว่าน้ำมีสีขุ่นและมีฟองอากาศ
จากนั้นได้นำขวดน้ำเก็บน้ำภายในสระไว้ ก่อนที่จะเดินทางไปยังโรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลราชพฤกษ์ และโรงพยาบาลขอนแก่นราม เพื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ที่เข้ารักษาตัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุระหว่าง 5-10 ปี  เบื้องต้นทางแพทย์ได้อนุญาตให้ผู้ที่เข้ารักษาตัวทั้ง 9 คน เดินทางกลับบ้านเป็นที่เรียบร้อย
ขณะที่ทางสระว่ายน้ำได้ประกาศหยุดให้บริการเป็นเวลา 2 วัน คือวันที่ 14-15 มีนาคม 2559 และจะเปิดให้บริการอีกครั้งในวันพุธที่ 16 มีนาคม 2559
และในเวลา 09.00 น. นายพงษ์ศักดิ์  ตั้งวานิชพงษ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น จะเดินทางมาตรวจสอบร่วมกับทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงสาเหตที่เกิดการรั่วไหลของสารเคมีในครั้งนี้
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#6

อ.เจษฎาเตือน! สารเคมีจากเคสมือถือกลิตเตอร์อาจเสี่ยงผิวหนังไหม้-พุพอง

อ.เจษฎาเตือน! สารเคมีจากเคสมือถือกลิตเตอร์อาจเสี่ยงผิวหนังไหม้-พุพอง

เคสโทรศัพท์มือถือชนิดที่สามารถใส่ของเหลว ทั้งแบบมีสีและไม่มีสี ผสมกลิตเตอร์ หรือกากเพชรวิววับ เป็นที่นิยมในหมู่คนไทย และชาวต่างชาติมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เห็นทีจะไม่ปลอดภัย 100% เมื่อมีรายงานข่าวจากต่างประเทศว่า เด็กหญิง 9 ขวบ เกิดเหตุของเหลวจากเคสโทรศัพท์มือถือรั่วไหล สัมผัสบนผิวหนังขณะนอนหลับทับเคส ตื่นเช้ามาพบรอยไหม้ และพุพอง
นอกจากนี้ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเตือนว่าหากผิวหนังสัมผัสของเหลวภายในเคสมือถือ ให้รีบล้างออกด้วยน้ำเปล่ามากๆ เพื่อป้องกันผิวหนังพุพองจากสารเคมี
"ระวังอันตรายจากสารเคมี ในเคสมือถือ กลิตเตอร์
ปรกติผมไม่ค่อยชอบโพสต์แบบเตือนภัยอันตรายต่างๆ เพราะเดี๋ยวนี้กลัวว่าพลังของโซเชียลมันจะทำให้สังคมแตกตื่นเกินไป แต่เรื่องนี้เห็นว่ายังไม่ค่อยเป็นที่ตระหนักกัน จึงขอยกขึ้นมาหน่อยเถอะ
ทางรายการ "ทุกข์ชาวบ้านสุดสัปดาห์" ช่อง TNN24 ได้มาขอสัมภาษณ์จากกรณีข่าวที่มีเด็กหญิงวัยแค่ 9 ปี นอนทับเคสโทรศัพท์มือแบบที่มีของเหลวใสใส่ตัวกลิตเตอร์สะท้อนแสงวาวๆ อยู่ด้านหลัง (http://www.mirror.co.uk/…/uk-news/girl-9-left-iphone-shaped…) แล้วตื่นเช้ามา เกิดเป็นรอยแผลไหม้สารเคมีพุพอง ... เรื่องนี้จริงเท็จเป็นเช่นไร
จากการเช็คกูเกิ้ล แม้ว่าจะยังไม่เคยมีรายงานอันตรายลักษณะนี้ในไทย แต่ในต่างประเทศมีคนเจอแล้วหลายราย ทั้งในอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ จนเชื่อได้ว่าน่าจะเรื่องจริง ที่สำคัญที่ ไม่มีการเขียนเตือนไว้เลยที่กล่องสินค้า ว่าให้ระวังอันตรายจากสารเคมี
แม้ว่าจะไม่ทราบว่าสารเคมีข้างในนั้นคืออะไร (สงสัยต้องขอให้ อ.อ๊อด Weerachai Phutdhawong ช่วยตรวจดู) แต่เท่าที่ลองซื้อมาจากร้านค้าทั่วไป แล้วเจาะเอามาทดสอบง่ายๆ พบว่า ของเหลวในนั้น มันมีกลิ่นฉุนรุนแรง นิ้วแตะๆ ดูแล้วรู้สึกร้อน ลองเอาไปเทราดเนื้อไก่ไว้ พบว่าเนื้อไก่เปื่อยยุ่ยใน 10 นาที (เสียดายว่าวัดพีเอชด้วยกระดาษอินดิเคเตอร์ ไม่พบว่าเป็นกรดหรือด่างเข้มข้น) จึงน่าจะฟันธงได้ว่า มันเป็นสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายได้จริงๆ ถ้ารั่วซึมออกมา
ดังนั้น การใช้เคสมือถือกลิตเตอร์แบบนี้จึงควรระวังเป็นอย่างมาก อย่าไปทำให้มันแตกรั่วซึม ถ้าสัมผัสร่างกาย ให้ล้างออกด้วยน้ำเปล่าเยอะๆๆ
ที่ขอเรียกร้องอีกอย่างคือ ผู้ประกอบการเอง ก็ควรจะเขียนคำเตือนไว้ให้ชัดเจนบนกล่องสินค้าด้วย (เท่าที่เช็คกัน แม้แต่ยี่ห้อแพงๆ ก็ไม่เขียนคำเตือน)”
อัพเดต! (4/3/16) รองศาสตราจารย์ ดร. วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์และนักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ได้ทำการทดสอบของเหลวในเคสมือถือ พบว่าเป็นสาร n-Decane หรือเรียกสั้นๆว่า "เด็คเคน (Decane)" ปกติเป็นสารชะล้างในโรงงานอุตสาหกรรมล้างไขมัน เช่น ล้างแผงวงจรอิเล็กโทรนิค เป็นตัวทำละลายในปิโตรเคมี และในห้องปฏิบัติการเคมี ดังนั้นเมื่อผิวหนังของคนเรามีไขมันเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย จึงเห็นแผลเปื่อยๆ จากการปฏิกิริยากับสารเด็คเคนได้ แต่กว่าสารจะออกฤทธิ์กับผิวหนัง ต้องสัมผัสกับสารนั้นนานๆ อย่างน้อย 15 นาที ดังนั้นหากสัมผัสสารดังกล่าว ควรรีบล้างน้ำสะอาดนานๆ เพื่อกำจัดสารนั้นออกไปจากผิวหนังให้เร็วที่สุด
 
 

ข่าวเคมี#5

หนุ่มนักกม.หัวเกษตร ปลูกผักหวานป่าแก้แล้ง-ไม่ใช่สารเคมี ลูกค้าแห่ซื้อจนไม่พอขาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสภาพอากาศที่แห้งแล้งเช่นนี้ ได้มีชาวบ้านรายหนึ่งใน ชุมชนสันป่าสักพัฒนา ม.10 ต.ปล้อง อ.เทิง จ.เชียงราย หันมาปลูกพืชที่ทนแล้งอย่างผักหวาน ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตได้เป็นอย่างดี
นายจตุพงษ์ ตาเปียง อายุ 33 ปี ปัจจุบันเป็นนิติกรอยู่เทศบาล ต.สบบง อ.ภูซาง จ.พะเยา ได้อาศัยวันว่างร่วมกับครอบครัวพัฒนาพื้นสวนประมาณ 30 ไร่ห่างจากหมู่บ้านเล็กน้อยเป็นพื้นที่ทางการเกษตรที่คุ้มค่าด้วยการปลูกผักหวานป่าปะปนไปกับสวนลำไยและพื้นที่เดิมที่เคยปลูกข้าวโพด ซึ่งเพาะปลูกมาได้ประมาณ 5 ปี สามารถเก็บยอดผักหวานป่าออกขายทุกๆ 3 วัน ให้ลูกค้าที่สำนักงานจนหมดทุกครั้ง นอกจากนี้ยังตอนกิ่งและนำเมล็ดผักหวานป่าที่ได้ออกขายสร้างรายได้เสริมได้เป็นอย่างดีด้วย
นายจตุพงษ์ กล่าวว่าตนสนใจด้านการเกษตรมาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่มีอาชีพทางการเกษตร ต่อมาเมื่อเรียนนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายและไปต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงจนจบการศึกษาแล้วออกไปทำงานแล้ว ก็ได้หันมาใช้เวลาว่างพัฒนาการเกษตรโดยเห็นว่าการปลูกพืชต่างๆ เช่น ยางพารา ข้าวโพด ลำไย ฯลฯ ก็มีราคาไม่แน่นอน ใช้น้ำและสารเคมีมาก หลายชนิดต้องแผ้วถางพื้นที่ทำให้หน้าดินและป่าไม้เสียหาย
ต่อมาได้มีโอกาสพบพ่อหน่อ แม่มอญ ชาว อ.ขุนตาล ที่อยู่ในชุมชนสันติอโศกก็ได้เรียนรู้การนำเมล็ดผักหวานป่ามาปลูก โดยปลูกปะปนไปกับพืชชนิดอื่นๆ โดยไม่ต้องหาพื้นที่ใหม่ด้วยการใช้เหล็กแหลมเล็กแทงลงไปในดินลึกประมาณ 1 ฟุต จากนั้นหยอดเมล็ดที่นำมาเพาะจนมีรากงอกแล้วลงไปหลุมละ 3-4 เม็ด จากนั้นก็ดูแลพืชชนิดอื่นๆ ไปพลางก่อนรอประมาณ 1.6 ปีต้นผักหวานก็จะเติบโตแล้วให้ยอดเป็นผลผลิตไปตลอด
“ซึ่งการดูแลรักษาน้อยมากเพราะเป็นพืชป่าที่แทบจะไม่ต้องให้น้ำ ปุ๋ย หรือไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆ เพราะมีภูมิคุ้มกันแมลงหรือสัตว์อื่นๆ ในตัวเอง เมื่อปลูกเมล็ดไว้เฉยๆ ก็ขึ้นต้นเองและมีอายุหลายสิบปีโดยมีลำต้นใหญ่เหมือนไม้ยืนต้นทั่วไป ผมจึงเห็นว่าคุ้มค่าและเหมาะกับทุกพื้นที่โดยเฉพาะที่สูงไมมีน้ำมาก กระนั้นเนื่องจากผักหวานป่าท้องถิ่นภาคเหนือมีใบยาวเรียวและใช้เวลาปลูกนาน จึงหันไปซื้อเมล็ดพันธุ์จาก จ.สระบุรี พบว่าใบใหญ่โตและใช้เวลาปลูกสั้นกว่า อายุแค่ 2 ปีก็สามารถตอนกิ่งขยายพันธุ์หรือขายได้ ที่สำคัญรสชาติอร่อยเหมือนเดิม”
นายจตุพงษ์ กล่าวและว่า ปัจจุบันสามารถเก็บผักหวานขายส่งได้กิโลกรัมละ 200-300 บาท ซึ่งเมื่อพ่อค้าแม่ค้านำไปวางขายที่ตลาดก็จะมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละประมาณ 400 บาท ส่วนเมล็ดจำหน่ายเป็นผลสดกิโลกรัมละ 300-350 บาท ซึ่งตนจะจำหน่ายแบบเพาะชำในถุงดำให้พร้อมมีพืชพี่เลี้ยงเป็นต้นดอกแคให้ 1 ต้นคู่กันเพราะผักหวานเป็นพืชป่าที่มีความแปลกโดยหากปลูกคู่กับพืชที่เหมาะสมจะเจริญเติบโตได้ดี นอกจากนี้ยังจำหน่ายกิ่งตอนกิ่งละตั้งแต่ 150-300 บาทแล้วแต่ขนาดอีกด้วย ส่วนการดูแลต้นผักหวานพบว่ามีความง่ายกว่าพืชชนิดอื่น
ปัจจุบันมีผู้สนใจติดต่อขอซื้อทั้งเมล็ด กิ่งตอนและยอดใบอย่างต่อเนื่องแต่ตนไม่พอจะผลิตขายให้ รวมทั้งมีผู้เดินทางไปศึกษาดูงานที่บ้านและสวนอย่างต่อเนื่อง ตนจึงแนะนำให้ผู้สนใจปลูกเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำแล้งและรักษาผืนดิน เพราะเป็นไม้ยืนต้นที่ดูแลง่ายแบบพืชป่าทำให้ธรรมชาติสมบูรณ์และไม่ต้องใช้น้ำมากหรือโทรติดต่อตน 089-4325413 ทั้งนี้การปลูกวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องเผาป่าตามที่เป็นกระแสข่าวแต่อย่างใดด้วย
แหล่งที่มา:www.sanook.com