วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

ข่าวเคมี#11

ระทึก! สารเคมีรั่วกลางกรุง กันเด็ก ชาวบ้าน ออกนอกพท.

ระทึก! สารเคมีรั่วกลางกรุง กันเด็ก ชาวบ้าน ออกนอกพท.

สน.บางชัน รับแจ้งเหตุสารเคมีรั่วไหลภายใน ซ.รามคำแหง 104 แขวง-เขตสะพานสูง กทม.จึงเดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ เลขที่ 48/293 สูง 4 ชั้น ของบริษัทบิวตี้ โปรเฟสเชอน่อล บิวซีเนส จำกัด เป็นโกดังเก็บผลิตภัณฑ์กัดสีผม พบกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาภายในชั้น 3 นอกจากนี้ยังมีกลิ่นสารเคมีฟุ้งไปทั่ว ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้กั้นพื้นที่และแจกหน้ากากอนามัยปิดปากให้กับเจ้าหน้าที่ สื่อมวลชนและประชาชนภายในซ.รามฯ 104
ทั้งนี้ บริเวณใกล้เคียงมีโรงเรียนอนุบาลเด็กเล็กจนถึงป.6 ทางเจ้าหน้าที่ได้สั่งให้โรงเรียนปิดการเรียนชั่วคราวเพื่ออพยพเด็กให้ออกจากพื้นที่โดยเร็ว เป็นเหตุให้การจราจรบริเวณดังกล่าวติดเป็นแนวยาว
จากการสอบสวน นายฉลองชัย ภูมิมาลา อายุ 52 ปี ผอ.ฝ่ายบุคคลของบริษัทดังกล่าวให้การว่า อาคารดังกล่าวเป็นโกดังเก็บกล่องผลิตภัณฑ์กัดสีผมก่อนที่จะเดินทางไปทำงานที่บริษัทซึ่งอยู่ห่างจากโกดังซอยเดียวกันประมาณ 200 เมตร และวันนี้ได้ติดต่อบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปทำลาย แต่ช่วงเวลาประมาณ 08.00 น. เจ้าหน้าที่ได้เปิดประตูออกมาได้กลิ่นสารเคมีและเห็นกลุ่มควันลอยคลุ้งออกมาจากชั้น 3 จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงทันที
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปขนย้ายกล่องเก็บผลิตภัณฑ์จากชั้น 3 นำมาใส่ไว้ในถังขยะสีเขียวของทางกรุงเทพมหานคร โดยได้ฉีดน้ำเข้าไปในถังด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปฏิกิริยา โดยจะนำไปทำลายที่จ.ราชบุรี
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#10

คันดินสะพานนวลฉวีพัง สารเคมีรั่ว อพยพวุ่น!

คันดินสะพานนวลฉวีพัง สารเคมีรั่ว อพยพวุ่น!

(26 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เกิดเหตุคันดินบริเวณสะพานนนทบุรี หรือสะพานนวลฉวี ฝั่งแยกสวนสมเด็จ จ.ปทุมธานี เกิดรอยรั่วความยาวประมาณ 3 เมตร ส่งผลให้น้ำได้ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ดังกล่าว
นอกจากนี้น้ำยังเข้าท่วมโรงงานย่านถนนติวานนท์ ใกล้สะพานนวลฉวี ทำให้เกิดสารเคมีจากโรงงานรั่วไหลปะปนกับน้ำ มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสูดดมสารพิษ 4 ราย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลชลประทานแล้ว ขณะที่พื้นที่ที่เกิดเหตุ มีบ้านเรือนประชาชนประมาณ 25 หลังคาเรือน ซึ่งได้มีการอพยพออกจากพื้นที่แล้วทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นกลิ่นสารเคมีที่รั่วไหลเริ่มเจือจางลงไปบ้างแล้ว แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยังคงต้องรอให้สารเคมีอยู่ในระดับปลอดภัย ก่อนจะเข้าดำเนินการซ่อมแซมคันดินที่เสียหายบริเวณสะพานนวลฉวีต่อไป
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#9

สารเคมีกัดสีผมรั่ว ซ.รามฯ 104 อพยพคนวุ่น

สารเคมีกัดสีผมรั่ว ซ.รามฯ 104 อพยพคนวุ่น

เกิดเหตุสารเคมีที่ใช้ทำน้ำยากัดสีผมของโรงงานใน ซ.รามคำแหง 104 รั่ว ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องอพยพประชาชนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงเป็นการด่วน
เจ้าหน้าที่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานคร เร่งฉีดน้ำทำลายสารเคมีที่นำไปใช้ทำน้ำยากัดสีผม หลังเกิดสารเคมีไฟร์โซเดียมซัลเฟตกว่า 500 ลัง รั่วในโกดังเก็บสินค้า ซึ่งดัดแปลงมาจากอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ในซอยรามคำแหง 104 เจ้าหน้าที่ต้องสวมชุดป้องกันเข้าไปฉีดน้ำควบคุมการระเหยของสาร และกั้นพื้นที่ภายในซอยเป็นพื้นที่อันตราย พร้อมอพยพประชาชนออกทั้งหมด เนื่องจากหากสูดดมจะส่งผลกระทบต่อปอดและระบบทางเดินหายใจ มีอาการแสบตา มึนศีรษะ และคันตามผิวหนัง โดยจากการวัดระดับพบว่าอยู่ในระดับ 6 ถือว่าเป็นอันตราย แต่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง นอกจากนี้ ยังแจกหน้ากากป้องกันการสูดดมสารเคมีโดยตรงให้ประชาชนที่อาศัยในละแวกใกล้เคียง
ที่ตั้งของโรงงานยังอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนโสมาภานุสสรณ์ ทางโรงเรียนจึงสั่งปิดและอพยพเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 1 ถึง ป.6 ออกจากพื้นที่ และแจ้งผู้ปกครองมารับกลับ ส่วนวันพรุ่งนี้ (23 ก.ย.) จะสามารถเปิดการเรียนการสอนได้หรือไม่ ต้องรอคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#8

ระทึก! สารเคมีในโรงงานรั่ว พนักงานหนีตายอลหม่าน

ระทึก! สารเคมีในโรงงานรั่ว พนักงานหนีตายอลหม่าน

เกิดเหตุสารเคมีในโรงงานรั่ว พนักงานวิ่งหนีตาย เจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุเอาไว้ได้ทัน จากเหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด
เวลา 11.00 น. วันที่ 25 ต.ค. 60 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดอนหัวฬ่อ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยไตรคุณธรรมว่า มีเหตุสารเคมีรั่วไหล บริษัทไทยเมกิ 2012 จำกัด เลขที่ 700/676 ม.7 ต.ดอนหัวฬ่อ อ.เมือง จ.ชลบุรี  มีพนักงานจำนวนมาก จึงรุดไปตรวจสอบทีเกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุเป็นโรงงานเคลือบโลหะที่แท็งก์เก็บสารเคมีภายในโรงงาน มีสารสีเหลืองมีกลิ่นเหม็น พนักงานจำนวนกว่า 130 คน วิ่งหนีตายออกมานอกโรงงาน บางรายมีที่สูบดมเข้าไปมีอาการหน้ามืดเวียนหัว เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นการเร่งด่วน
จากการสอบตรวจพบว่าสารเคมีดังกล่าวเป็นกรดไนตริกเป็นของเหลวไม่มีสี กลิ่นฉุนรุนแรง และมีความเป็นกรดสูง จึงอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังและผู้ที่สูดดม เบื้องต้นตอนนี้ทางโรงงานสามารถควบคุมการรั่วไหลได้แล้ว จากเหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#7

สารเคมีรั่วในสระว่ายน้ำ หามเด็กส่ง รพ. นับสิบราย

สารเคมีรั่วในสระว่ายน้ำ หามเด็กส่ง รพ. นับสิบราย

เหตุดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อเวลา 20.00 น. ของวันที่ 13 มี.ค. เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพต้องระดมกำลังมาช่วยเหลือเด็กนักเรียนกว่า 20 คน ที่สำลักกลิ่นเหม็นของสารเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาดสระว่ายน้ำ ภายในสนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น หลังสารเคมีที่ผสมเตรียมไว้เกิดปฏิกิริยารั่วออกมา ขณะที่เด็กกำลังเรียนว่ายน้ำภาคฤดูร้อน  โดยเจ้าที่กู้ภัยนำเด็กที่สูดกลิ่นเหม็นของสารเคมีนำส่งโรงพยาบาลขอนแก่น จำนวน 9 ราย ส่วนที่เหลือผู้ปกครองได้มารับตัวนำกลับบ้าน
สาเหตุเบื้องต้นเกิดจากถังผสมสารเคมีสำหรับใช้ในการตกตะกอน ที่เจ้าหน้าที่ดูแลสระว่ายน้ำผสมไว้สารเคมีสำหรับให้น้ำตกตะกอน ประกอบด้วย โซดาแอช จุนสี สารส้ม ได้ทำปฏิกิริยาขึ้น แล้วเกิดควันพุ่งออกจากถังผสมสารเคมี จึงทำให้กลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วสระว่ายน้ำที่ขณะนั้นมีเด็กกำลังเรียนว่ายน้ำ
ทางเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย เขต6 ขอนแก่น ได้นำเครื่องดูดกลิ่นออกจากตัวอาคาร เพื่อเตรียมเข้าไปดูจุดห้องผสมสารเคมี โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงสามารถไล่กลิ่นเหม็นคลอรีนออกจากพื้นที่สระว่ายได้ทั้งหมด
ตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น เข้าตรวจสอบสระว่ายน้ำ พร้อมกับสอบปากคำคนดูแลวระว่ายน้ำเพิ่มเติม  พร้อมเข้าไปตรวจสอบภายในสระว่ายน้ำ พบว่าน้ำมีสีขุ่นและมีฟองอากาศ
จากนั้นได้นำขวดน้ำเก็บน้ำภายในสระไว้ ก่อนที่จะเดินทางไปยังโรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลราชพฤกษ์ และโรงพยาบาลขอนแก่นราม เพื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ที่เข้ารักษาตัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุระหว่าง 5-10 ปี  เบื้องต้นทางแพทย์ได้อนุญาตให้ผู้ที่เข้ารักษาตัวทั้ง 9 คน เดินทางกลับบ้านเป็นที่เรียบร้อย
ขณะที่ทางสระว่ายน้ำได้ประกาศหยุดให้บริการเป็นเวลา 2 วัน คือวันที่ 14-15 มีนาคม 2559 และจะเปิดให้บริการอีกครั้งในวันพุธที่ 16 มีนาคม 2559
และในเวลา 09.00 น. นายพงษ์ศักดิ์  ตั้งวานิชพงษ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น จะเดินทางมาตรวจสอบร่วมกับทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงสาเหตที่เกิดการรั่วไหลของสารเคมีในครั้งนี้
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#6

อ.เจษฎาเตือน! สารเคมีจากเคสมือถือกลิตเตอร์อาจเสี่ยงผิวหนังไหม้-พุพอง

อ.เจษฎาเตือน! สารเคมีจากเคสมือถือกลิตเตอร์อาจเสี่ยงผิวหนังไหม้-พุพอง

เคสโทรศัพท์มือถือชนิดที่สามารถใส่ของเหลว ทั้งแบบมีสีและไม่มีสี ผสมกลิตเตอร์ หรือกากเพชรวิววับ เป็นที่นิยมในหมู่คนไทย และชาวต่างชาติมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เห็นทีจะไม่ปลอดภัย 100% เมื่อมีรายงานข่าวจากต่างประเทศว่า เด็กหญิง 9 ขวบ เกิดเหตุของเหลวจากเคสโทรศัพท์มือถือรั่วไหล สัมผัสบนผิวหนังขณะนอนหลับทับเคส ตื่นเช้ามาพบรอยไหม้ และพุพอง
นอกจากนี้ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเตือนว่าหากผิวหนังสัมผัสของเหลวภายในเคสมือถือ ให้รีบล้างออกด้วยน้ำเปล่ามากๆ เพื่อป้องกันผิวหนังพุพองจากสารเคมี
"ระวังอันตรายจากสารเคมี ในเคสมือถือ กลิตเตอร์
ปรกติผมไม่ค่อยชอบโพสต์แบบเตือนภัยอันตรายต่างๆ เพราะเดี๋ยวนี้กลัวว่าพลังของโซเชียลมันจะทำให้สังคมแตกตื่นเกินไป แต่เรื่องนี้เห็นว่ายังไม่ค่อยเป็นที่ตระหนักกัน จึงขอยกขึ้นมาหน่อยเถอะ
ทางรายการ "ทุกข์ชาวบ้านสุดสัปดาห์" ช่อง TNN24 ได้มาขอสัมภาษณ์จากกรณีข่าวที่มีเด็กหญิงวัยแค่ 9 ปี นอนทับเคสโทรศัพท์มือแบบที่มีของเหลวใสใส่ตัวกลิตเตอร์สะท้อนแสงวาวๆ อยู่ด้านหลัง (http://www.mirror.co.uk/…/uk-news/girl-9-left-iphone-shaped…) แล้วตื่นเช้ามา เกิดเป็นรอยแผลไหม้สารเคมีพุพอง ... เรื่องนี้จริงเท็จเป็นเช่นไร
จากการเช็คกูเกิ้ล แม้ว่าจะยังไม่เคยมีรายงานอันตรายลักษณะนี้ในไทย แต่ในต่างประเทศมีคนเจอแล้วหลายราย ทั้งในอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ จนเชื่อได้ว่าน่าจะเรื่องจริง ที่สำคัญที่ ไม่มีการเขียนเตือนไว้เลยที่กล่องสินค้า ว่าให้ระวังอันตรายจากสารเคมี
แม้ว่าจะไม่ทราบว่าสารเคมีข้างในนั้นคืออะไร (สงสัยต้องขอให้ อ.อ๊อด Weerachai Phutdhawong ช่วยตรวจดู) แต่เท่าที่ลองซื้อมาจากร้านค้าทั่วไป แล้วเจาะเอามาทดสอบง่ายๆ พบว่า ของเหลวในนั้น มันมีกลิ่นฉุนรุนแรง นิ้วแตะๆ ดูแล้วรู้สึกร้อน ลองเอาไปเทราดเนื้อไก่ไว้ พบว่าเนื้อไก่เปื่อยยุ่ยใน 10 นาที (เสียดายว่าวัดพีเอชด้วยกระดาษอินดิเคเตอร์ ไม่พบว่าเป็นกรดหรือด่างเข้มข้น) จึงน่าจะฟันธงได้ว่า มันเป็นสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายได้จริงๆ ถ้ารั่วซึมออกมา
ดังนั้น การใช้เคสมือถือกลิตเตอร์แบบนี้จึงควรระวังเป็นอย่างมาก อย่าไปทำให้มันแตกรั่วซึม ถ้าสัมผัสร่างกาย ให้ล้างออกด้วยน้ำเปล่าเยอะๆๆ
ที่ขอเรียกร้องอีกอย่างคือ ผู้ประกอบการเอง ก็ควรจะเขียนคำเตือนไว้ให้ชัดเจนบนกล่องสินค้าด้วย (เท่าที่เช็คกัน แม้แต่ยี่ห้อแพงๆ ก็ไม่เขียนคำเตือน)”
อัพเดต! (4/3/16) รองศาสตราจารย์ ดร. วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์และนักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ได้ทำการทดสอบของเหลวในเคสมือถือ พบว่าเป็นสาร n-Decane หรือเรียกสั้นๆว่า "เด็คเคน (Decane)" ปกติเป็นสารชะล้างในโรงงานอุตสาหกรรมล้างไขมัน เช่น ล้างแผงวงจรอิเล็กโทรนิค เป็นตัวทำละลายในปิโตรเคมี และในห้องปฏิบัติการเคมี ดังนั้นเมื่อผิวหนังของคนเรามีไขมันเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย จึงเห็นแผลเปื่อยๆ จากการปฏิกิริยากับสารเด็คเคนได้ แต่กว่าสารจะออกฤทธิ์กับผิวหนัง ต้องสัมผัสกับสารนั้นนานๆ อย่างน้อย 15 นาที ดังนั้นหากสัมผัสสารดังกล่าว ควรรีบล้างน้ำสะอาดนานๆ เพื่อกำจัดสารนั้นออกไปจากผิวหนังให้เร็วที่สุด
 
 

ข่าวเคมี#5

หนุ่มนักกม.หัวเกษตร ปลูกผักหวานป่าแก้แล้ง-ไม่ใช่สารเคมี ลูกค้าแห่ซื้อจนไม่พอขาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสภาพอากาศที่แห้งแล้งเช่นนี้ ได้มีชาวบ้านรายหนึ่งใน ชุมชนสันป่าสักพัฒนา ม.10 ต.ปล้อง อ.เทิง จ.เชียงราย หันมาปลูกพืชที่ทนแล้งอย่างผักหวาน ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตได้เป็นอย่างดี
นายจตุพงษ์ ตาเปียง อายุ 33 ปี ปัจจุบันเป็นนิติกรอยู่เทศบาล ต.สบบง อ.ภูซาง จ.พะเยา ได้อาศัยวันว่างร่วมกับครอบครัวพัฒนาพื้นสวนประมาณ 30 ไร่ห่างจากหมู่บ้านเล็กน้อยเป็นพื้นที่ทางการเกษตรที่คุ้มค่าด้วยการปลูกผักหวานป่าปะปนไปกับสวนลำไยและพื้นที่เดิมที่เคยปลูกข้าวโพด ซึ่งเพาะปลูกมาได้ประมาณ 5 ปี สามารถเก็บยอดผักหวานป่าออกขายทุกๆ 3 วัน ให้ลูกค้าที่สำนักงานจนหมดทุกครั้ง นอกจากนี้ยังตอนกิ่งและนำเมล็ดผักหวานป่าที่ได้ออกขายสร้างรายได้เสริมได้เป็นอย่างดีด้วย
นายจตุพงษ์ กล่าวว่าตนสนใจด้านการเกษตรมาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่มีอาชีพทางการเกษตร ต่อมาเมื่อเรียนนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายและไปต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงจนจบการศึกษาแล้วออกไปทำงานแล้ว ก็ได้หันมาใช้เวลาว่างพัฒนาการเกษตรโดยเห็นว่าการปลูกพืชต่างๆ เช่น ยางพารา ข้าวโพด ลำไย ฯลฯ ก็มีราคาไม่แน่นอน ใช้น้ำและสารเคมีมาก หลายชนิดต้องแผ้วถางพื้นที่ทำให้หน้าดินและป่าไม้เสียหาย
ต่อมาได้มีโอกาสพบพ่อหน่อ แม่มอญ ชาว อ.ขุนตาล ที่อยู่ในชุมชนสันติอโศกก็ได้เรียนรู้การนำเมล็ดผักหวานป่ามาปลูก โดยปลูกปะปนไปกับพืชชนิดอื่นๆ โดยไม่ต้องหาพื้นที่ใหม่ด้วยการใช้เหล็กแหลมเล็กแทงลงไปในดินลึกประมาณ 1 ฟุต จากนั้นหยอดเมล็ดที่นำมาเพาะจนมีรากงอกแล้วลงไปหลุมละ 3-4 เม็ด จากนั้นก็ดูแลพืชชนิดอื่นๆ ไปพลางก่อนรอประมาณ 1.6 ปีต้นผักหวานก็จะเติบโตแล้วให้ยอดเป็นผลผลิตไปตลอด
“ซึ่งการดูแลรักษาน้อยมากเพราะเป็นพืชป่าที่แทบจะไม่ต้องให้น้ำ ปุ๋ย หรือไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆ เพราะมีภูมิคุ้มกันแมลงหรือสัตว์อื่นๆ ในตัวเอง เมื่อปลูกเมล็ดไว้เฉยๆ ก็ขึ้นต้นเองและมีอายุหลายสิบปีโดยมีลำต้นใหญ่เหมือนไม้ยืนต้นทั่วไป ผมจึงเห็นว่าคุ้มค่าและเหมาะกับทุกพื้นที่โดยเฉพาะที่สูงไมมีน้ำมาก กระนั้นเนื่องจากผักหวานป่าท้องถิ่นภาคเหนือมีใบยาวเรียวและใช้เวลาปลูกนาน จึงหันไปซื้อเมล็ดพันธุ์จาก จ.สระบุรี พบว่าใบใหญ่โตและใช้เวลาปลูกสั้นกว่า อายุแค่ 2 ปีก็สามารถตอนกิ่งขยายพันธุ์หรือขายได้ ที่สำคัญรสชาติอร่อยเหมือนเดิม”
นายจตุพงษ์ กล่าวและว่า ปัจจุบันสามารถเก็บผักหวานขายส่งได้กิโลกรัมละ 200-300 บาท ซึ่งเมื่อพ่อค้าแม่ค้านำไปวางขายที่ตลาดก็จะมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละประมาณ 400 บาท ส่วนเมล็ดจำหน่ายเป็นผลสดกิโลกรัมละ 300-350 บาท ซึ่งตนจะจำหน่ายแบบเพาะชำในถุงดำให้พร้อมมีพืชพี่เลี้ยงเป็นต้นดอกแคให้ 1 ต้นคู่กันเพราะผักหวานเป็นพืชป่าที่มีความแปลกโดยหากปลูกคู่กับพืชที่เหมาะสมจะเจริญเติบโตได้ดี นอกจากนี้ยังจำหน่ายกิ่งตอนกิ่งละตั้งแต่ 150-300 บาทแล้วแต่ขนาดอีกด้วย ส่วนการดูแลต้นผักหวานพบว่ามีความง่ายกว่าพืชชนิดอื่น
ปัจจุบันมีผู้สนใจติดต่อขอซื้อทั้งเมล็ด กิ่งตอนและยอดใบอย่างต่อเนื่องแต่ตนไม่พอจะผลิตขายให้ รวมทั้งมีผู้เดินทางไปศึกษาดูงานที่บ้านและสวนอย่างต่อเนื่อง ตนจึงแนะนำให้ผู้สนใจปลูกเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำแล้งและรักษาผืนดิน เพราะเป็นไม้ยืนต้นที่ดูแลง่ายแบบพืชป่าทำให้ธรรมชาติสมบูรณ์และไม่ต้องใช้น้ำมากหรือโทรติดต่อตน 089-4325413 ทั้งนี้การปลูกวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องเผาป่าตามที่เป็นกระแสข่าวแต่อย่างใดด้วย
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#4

โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ชี้แจง เหตุสารเคมีรั่วไหลไม่ใช่ “ไซยาไนด์”

โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ชี้แจง เหตุสารเคมีรั่วไหลไม่ใช่ “ไซยาไนด์”

การไฟฟ้าแม่เมาะแจงเหตุสารเคมีรั่วไหล คือ กรดไฮโดรคลอริก  เมื่อถูกน้ำจะเกิดเป็นไอมีกลิ่นฉุน ตามมาตรการด้านความปลอดภัย จึงให้พนักงานที่ปฏิบัติงานออกไปอยู่ในที่ปลอดภัย
นายศานิต นิยมาคม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์การ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ชี้แจงถึงกรณีที่ช่วงเช้าวันที่ 6 พฤษภาคม มีกระแสข่าวว่า เกิดเหตุสารไซยาไนด์รั่วภายในบริเวณสถานที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทน เครื่องที่ 4-7 และมีการอพยพคนงานออกจากพื้นที่ดังกล่าว โดยกฟผ. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า สารเคมีดังกล่าวไม่ใช่สารไซยาไนด์
ทั้งนี้ ภายหลังเกิดเหตุสารเคมีที่ใช้ปรับสภาพน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้ามีการรั่วซึม ได้ดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยเร่งด่วนจนสถานการณ์คลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติเรียบร้อย เจ้าหน้าที่และคนงานกลับเข้าไปปฏิบัติงานได้ตามปกติ พร้อมยืนยันว่าไม่มีผู้ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 4-7 (MMRP1) พบเหตุ “กรดไฮโดรคลอริค (HCL) หรือ กรดเกลือ” รั่วไหลในปริมาณเล็กน้อยระหว่างการทดสอบระบบ จึงได้ให้คนงานที่อยู่ในรัศมี 10 เมตร ออกไปอยู่ที่จุดรวมพล เพื่อความปลอดภัย และเป็นการปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย ระดับที่ 1
กรดไฮโดรคลอริค (HCL) หรือ กรดเกลือ เป็นสารเคมีที่มีไว้ใช้สำหรับปรับสภาพน้ำที่ใช้ในโรงไฟฟ้า เพื่อให้ได้น้ำที่มีคุณภาพก่อนน้ำไปใช้ในระบบ
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#3

12 สารเคมีในบ้านที่เราควรหลีกเลี่ยง

12 สารเคมีในบ้านที่เราควรหลีกเลี่ยง

ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เราใช้อยู่ในครัวเรือนนั้น มีส่วนผสมของสารเคมี ซึ่งก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ ขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ และฮอร์โมนในร่างกาย องค์การอนามัยโลกบอกว่า สารเคมีเหล่านี้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้คน ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่เกิดกับคนในโลก
Thomas Zoeller ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งแมซซาชูเสท บอกว่า แม้เราจะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า สารเคมีต่าง ๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันไปขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธว่าสารเคมีส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกาย
มีรายงานด้วยว่า ทุกวันนี้มีสารเคมีราว ๆ 80,000 ชนิด ที่ถูกนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กับอยู่ในชีวิตประจำวัน และสารเคมีประมาณ 1,300 ชนิด ก็ถูกพิจารณาว่าขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ และสารเคมี 12 ชนิดต่อไปนี้ นับว่าเลวร้ายมากที่สุด ซึ่งเราควรจะต้องหลีกเลี่ยง
1.Bisphenol A หรือ BPAเป็นสารที่พบในบรรจุภัณฑ์พลาสติก ในปี 1930 มีการใช้เพื่อสังเคราะห์เอสโตรเจนให้กับผู้หญิง ดังนั้นแน่นอนว่า สารเคมีดังกล่าวมีผลต่อฮอร์โมน มีการศึกษาพบว่า มันทำหน้าที่เหมือนเอสโตรเจน ทำให้การผลิตเสปิร์มของผู้ชายลดลง ทำให้เด็กหญิงแตกวัยสาวเร็วกว่ากำหนด และยังส่งผลกระทบต่อภาวะการเจริญภัณฑ์ของทั้งชายและหญิง ในสัตว์ก็มีการศึกษาพบว่า สารเคมีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการแท้งลูก นอกจากนั้น สาร BPA นี้ ยังรบกวนระบบการเผาผลาญอาหารและมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ โรคอ้วน และโรคเบาหวาน เราพบสาร BPA ในอาหารกระป๋อง ผลิตภัณฑ์พลาสติก สารเคลือบใบเสร็จ ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการลดการรับประทานอาหารกระป๋อง เลือกหาอาหารสดมาทำรับประทานเอง หลีกเลี่ยงการใช้ขวดหรือภาชนะพลาสติก และหากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องรับใบเสร็จ เมื่อเวลาช้อปปิ้ง
2.Dioxins หรือไดอ๊อกซิน เป็นสารประกอบทางเคมีที่เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง และยังเป็นสารเคมี ที่มีผลกระทบต่อฮอร์โมน ลดภาวะการเจริญพันธุ์ ทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคเยื่อบุโพรงมดลูก มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน ลดระดับฮอร์โมนเทสทอสเทอร์โรน ก่อให้เกิดการแท้ง ลดปริมาณและคุณภาพของฮอร์โมน สารเคมีนี้เกิดจากการเผาขยะในปริมาณมาก และปนเข้าไปอยู่ในกระดาษ เยื่อไม้ อากาศ และน้ำ จากนั้นก็ไปก่อตัวอยู่นำไขมันของสัตว์ ซึ่งเป็นอาหารของเรา การที่จะลดปริมาณการรับสารพิษนี้ก็คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมัน และนมเนยให้น้อยลง
3.Atrazine หรืออาทราซิน สารชนิดนี้ เคยมีการวิจัยพบว่ามีผลกระทบต่อฮอร์โมนของปลาและกบ โดยทำให้ปลา และกบเพศผู้ มีความเป็นเพศเมีย ส่วนการวิจัยในมนุษย์พบว่าสารดังกล่าว ไปเพิ่มการทำงานของยีนที่เกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ สารชนิดนี้นำมาใช้กันมากในการกำจัดศัตรูพืช โดยมากจะนำมาใช้กับข้าวโพด วิธีการหลีกเลี่ยงสารพวกนี้ก็คือ การเลือกบริโภคผัก ผลไม้ จากฟาร์มออร์แกนิค และลดปริมาณการรับประทานเนื้อ เพราะสารดังกล่าวปนเปื้อนอยู่ในข้าวโพด และข้าวโพดก็เป็นอาหารหลัก ๆ ที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์
4.Phthalates หรือพาทาเล็ท สารนี้เคยมีการนำมาศึกษา และพบว่า เด็กชายที่เกิดจากมารดาที่มีระดับสารพาทาเล็ทมาก มีความผิดปกติที่อวัยวะเพศ สารเคมีดังกล่าวไปรบกวนฮอร์โมนเทสทอสเทอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้มีการพัฒนาของหน้าอก นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม ก็มีระดับสารชนิดนี้สูงกว่าหญิงที่ไม่เป็นมะเร็ง สารพาทาเล็ท เป็นสารที่เราพบได้มากมายในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ ทั้งพื้นบ้าน ม่านห้องน้ำ หนังสังเคราะห์ และผลิตภัณฑ์พวก PVC ไวนิล สารพาทาเล็ท ทำให้พลาสติกมีความยืดหยุ่น นอกจากนั้น ยังเป็นสารที่นำไปใช้ในผลิตภัณฑ์จำพวกสี เช่น ยาทาเล็บ สี น้ำยาเคลือบเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งยังพบสารพวกนี้ ในบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นจำนวนมากด้วย วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือการไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ไวนิล และเก็บอาหารไว้ในภาชนะแก้ว หรือสแตนเลสสตีล
5.Perchlorate หรือพอร์เชอเรต เป็นสารที่รบกวนการทำงานของไทรอยด์ ส่งผลต่อฮอร์โมน และการเผาผลาญอาหารของร่างกาย สารเคมีชนิดนี้ เป็นส่วนประกอบของเชื้อเพลิงจรวด ขีปนาวุธ ดอกไม้ไฟ รวมทั้งแบตเตอรี่ สารชนิดนี้ จะปนเปื้อนอยู่ในดิน และน้ำใต้ดิน และไม่มีใครทราบว่า เมื่อไหร่ที่สารเคมีนี้จะสลายตัวไป สารนี้สามารถปนเปื้อนในอาหาร เช่นไข่ นมเนย ผลไม้ และผัก การหลีกเลี่ยงก็คือ การเลือกหาอาหารจากแหล่งที่ปลอดภัยมารับประทาน
6.Flame retardants หรือสารหน่วงการติดไฟ เป็นสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อไทรอยด์ และการเจริญพันธุ์ของเพศหญิง และเนื่องจากไทรอยด์นั้น มีผลต่อสมอง ดังนั้น สารชนิดนี้ จึงมีผลกระทบต่อระดับไอคิวของเด็กด้วย สารชนิดนี้ พบได้ในเฟอร์นิเจอร์ พรม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้กับเด็ก เช่นหมอนให้นม ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า ผลิตภัณฑ์หลาย ๆ อย่างในบ้าน ที่ทำงาน และในรถ มีสารชนิดนี้เป็นส่วนประกอบ อีกทั้งยังพบว่า สารดังกล่าวนี้มีอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ อย่างคอมพิวเตอร์ ทีวี โทรศัพท์มือถือ และเครื่องเล่นวีดีโอเกม วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือ ดูดฝุ่น ทำความสะอาดบ่อย ๆ จริง ๆ แล้วเราแทบไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารนี้ได้ จึงควรพยายามลดการแพร่กระจายของมัน เพราะสารนี้ จะออกมาจากฝุ่นในเฟอร์นิเจอร์ พรมปูพื้นรถ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีการชำรุด
7.Lead หรือสารตะกั่ว เป็นเวลานานแล้วที่สารตะกั่วนั้นส่งผลต่อสุขภาพของเรา และทุกวันนี้ ก็มีการวิจัยพบว่าอันตรายจากสารตะกั่วนั้นเพิ่มมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อฮอร์โมน และความเครียดของคนเราด้วย สารตะกั่วนั้นเป็นโลหะพิษที่ปนเปื้อนอยู่ทั้งในน้ำดื่มที่ไหลผ่านท่อน้ำเก่า และน้ำในแทงก์น้ำ แม้จะผ่านการกรองแล้วก็ตาม การหลีกเลี่ยงนั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่า ซึ่งดูดซับสารตะกั่วไว้ในปริมาณน้อย และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยนั้น หากเป็นบ้านเก่า ก็ควรได้รับการปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องใช้ เพื่อการอุปโภคและบริโภค
8.Arsenic หรือสารหนู เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้อีกหลายอย่าง รวมทั้งทำให้เกิดปัญหากับต่อมไร้ท่อ รบกวนการทำงานของเอสโตรเจร โปรเจสเตอโรน รวมทั้งฮอร์โมนเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันโรค สารหนูนี้ มีอยู่ทั้งในน้ำและอาหาร ทั้งเนื้อสัตว์ และผลไม้อย่างแอปเปิล และองุ่น ที่อยู่ในฟาร์มซึ่งไม่มีคุณภาพ ดังนั้น แนวทางในการหลีกเลี่ยงก็คือ กรองน้ำผ่านระบบการกรองที่ได้มาตราฐาน เลือกรับประทานอาหารจากแหล่งผลิตที่มีคุณภาพ หรืออาหารออแกนนิค
9.Mercury หรือสารปรอท เป็นสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อไอคิวของเด็กเช่นกัน อีกทั้งยังส่งผลต่อฮอร์โมน และวงจรการมีประจำเดือนและการตกไข่ของผู้หญิง สารปรอทนี้ ยังทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดด้วย สารปรอทนี้พบในอาหารทะเล เพราะสามารถปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อยู่ใกล้กับแหล่งอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพวกโรงงานถ่านหิน เราสามารถหลีกเลี่ยงสารปรอทได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารทะเล ที่มีปริมาณสารปรอทต่ำเช่นปลาแซลมอนอลาสก้า ปลาเทราท์ ปลาซาดีน และแอนโชวี่ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วปลาเล็ก ๆ จะมีการปนเปื้อนน้อย
10.Perfluorinated chemicals สารเปอร์ฟลูออโรเนท หรือ PFCs สารนี้มีการศึกษาพบว่ามีผลกระทบต่อการทำงานของไทรอยด์ และมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ อีกทั้งยังมีผลต่อภาวะการเจริญพันธุ์ของทั้งชายและหญิง รวมทั้งการผลิตไข่ของเพศหญิง เราพบสารชนิดนี้ในหม้อ กระทะ ที่มีการเคลือบสารกันการเกาะติด รวมทั้งยังมีอยู่ในเสื้อผ้าพวก ผ้าหุ้มเบาะ พรม กระเป๋าเป้ และพวกผลิตภัณฑ์ป้องกันน้ำ ป้องกันคราบสกปรกต่าง ๆ รวมทั้งยังพบในกล่องพิซซ่า ห่ออาหาร ถุงป๊อบคอร์นแบบไมโครเวฟ รวมทั้งถุงอาหารสัตว์ด้วย เราสามารถหลีกเลี่ยงสารดังกล่าวได้ด้วยการไม่ใช้ผลิตภัณฑ์พวก กอร์เท็ค ป้องกันคราบ และเทฟล่อน เพราะสิ่งเหล่านี้ มีการผสมสาร PFCs เข้าไปในการผลิต
11.Organophosphate pesticides หรือยากำจัดแมลงพวกฟอสเฟต สารพวกนี้ทำให้ระดับเทสทอสเทอโรน และฮอร์โมนเพศต่ำลง หากได้รับสารนี้ระหว่างการตั้งครรภ์ ก็มีความเสี่ยงต่อการแท้งลูก และมีผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ เราพบว่ามีสารพวกนี้ในยาฆ่าแมลง ดังนั้นการหลีกเลี่ยงก็คือ การเลือกอาหารจากฟาร์มออร์แกนิค
12.Glycol ethers หรือไกลคอล อีเทอร์ มีผลกระทบต่อฮอร์โมน ทำให้สเปิร์มของเพศชายด้อยคุณภาพ เคลื่อนตัวช้าสารพวกนี้ใช้กันมากมายในวงการอุตสาหกรรม รวมทั้งพวกบริการซักแห้ง และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือ ผ้าที่มีความบอบบาง ให้ซักด้วยมือแทนการซักแห้ง และทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมใช้เองที่บ้าน
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#2

สำรวจรายได้บริษัทนำเข้าสารเคมี หลังลือ “อ.ยักษ์” ถูกเด้งเซ่นต้าน 3 สารพิษ

สำรวจรายได้บริษัทนำเข้าสารเคมี หลังลือ “อ.ยักษ์” ถูกเด้งเซ่นต้าน 3 สารพิษ

จากกรณีที่มีกระแสข่าวเด้ง นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือ อ.ยักษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลังเปิดศึกต้านการใช้สารเคมีอันตราย 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต, ควอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต นั้นล่าสุดได้รับการยืนยันจากนายกฤษฏา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ไม่เป็นความจริงพร้อมยืนยันว่า อ.ยักษ์ ยังทำงานตามปกติก่อนหน้านี้ อ.ยักษ์ ได้ลั่นวาจาว่า “ผมทำงานเดิมพันด้วยชีวิต ไม่ใช่ด้วยตำแหน่ง แผ่นดินต้องไร้สารพิษในพื้นที่เกษตรกร 4-5 ล้านไร่ กำหนดไว้ 5 ปีสิ้นสุดปี 2564” ซึ่งหากดูประวัติของ อ.ยักษ์ จะพบว่าเคยเป็นอดีตข้าราชการที่ผันตัวไปทำเกษตรอินทรีย์ตามศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 นั่นเอง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าอุดมการณ์ของ อ.ยักษ์ ที่จะผลักดันให้เกษตรกรไทยทั่วประเทศหันมาทำเกษตรอินทรีย์นั้นมีมากขนาดไหนแน่นอนการประกาศยกเลิกใช้สารเคมีภัณฑ์เหล่านี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้ผลิตและผู้นำเข้าอย่างแน่นอน ซึ่ง Sanook! Money ได้รวบรวมบริษัทผู้นำเข้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ทางด้านเกษตรรายใหญ่ที่มีขนาดใกล้เคียงมาส่อง เพื่อดูรายได้-กำไรกันบริษัท เจียไต๋ จำกัด (เครือ CP) แจ้งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2526 โดยมีนายจรัญ เจียรวนนท์, นายมนตรี เจียรวนนท์, นายธนินท์ เจียรวนนท์, นายวัลลภ เจียรวนนท์ และนายมิน เธียรวนนท์ เป็นคณะกรรมการ ดำเนินธุรกิจขายส่งปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตร ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลัง ดังนี้
ปี 2558 รายได้ 18,190 ล้านบาท กำไร 1,052 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 17,456 ล้านบาท กำไร 1,249 ล้านบาท
ปี 2560 รายได้ 16,856 ล้านบาท กำไร 1,175 ล้านบาท
บริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย จำกัด แจ้งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2519 โดยมีนายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย, นายเคเรียล ริชาร์ด ทอร์นทันฐ นายเดชา พาณิชยพิเชฐ ,นายวิชชา สิมศิริ และนางศันสนี ไทยอารี เป็นคณะกรรมการ ดำเนินธุรกิจผลิตเคมีภัณฑ์อนินทรีย์ขั้นมูลฐานอื่นๆ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 7,396 ล้านบาท มีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้
ปี 2558 รายได้ 29,542 ล้านบาท กำไร 216 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 29,451 ล้านบาท ขาดทุน 1,658 ล้านบาท
ปี 2560 รายได้ 31,517 ล้านบาท ขาดทุน 2,556 ล้านบาท
บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด (เข้าซื้อ บริษัท มอนซานโต้ ไทยแลนด์ จำกัด บริษัทที่เกษตรกรคุ้นเคยกันดี) แจ้งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2505 โดยมีนายยิม พูน วาห์, นายไซ่ม่อน ทอร์สเทน วีบุช, นายริอาซ อลัม บัคช , นายเจมส์ แพทริค เคนเนลลีย์ และนางภารณี อดุลยพิเชฏฐ์ ดำเนินธุรกิจผลิตเคมีภัณฑ์อนินทรีย์ขั้นมูลฐานอื่นๆ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 465 ล้านบาท มีผลประกอบการย้อนหลัง ดังนี้
ปี 2558 รายได้ 24,043 ล้านบาท กำไร 1,990 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 7,370 ล้านบาท กำไร 253 ล้านบาท
ปี 2560 รายได้ 8,195 ล้านบาท กำไร 185 ล้านบาท
ซึ่งการประกาศยกเลิกใช้สารเคมี เป็นการลดทอนกำไรจากการค้าสารเคมีของบริษัทยักษ์ใหญ่และบริษัทอื่นๆที่มียอดขายรวมกัน 70,000 – 80,000 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว หลังจากนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่าทั้งบริษัทนายทุนที่นำเข้าเคมีภัณฑ์กับหน่วยงานรัฐจะหาจุดกึ่งกลางร่วมกันได้หรือไม่ หรือเราจะได้เห็นการเชือดเฉือนกันอย่างเข้มข้นที่อาจจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมถอยออกไป
แหล่งที่มา:www.sanook.com

ข่าวเคมี#1

วิธีกำจัดแมลงหวี่แบบง่าย ๆ ไม่พึ่งสารเคมี


ถ้าเพื่อนเจอปัญหาแมลงหวี่รบกวนเหมือนที่กล่าวมา วันนี้เรานำวิธีไล่แมลงหวี่มาแนะนำ เป็นวิธีง่ายๆ เกี่ยวกับการกำจัดแมลงหวี่ หรือไล่แมลงหวี่โดยไม่ใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง ป้องกันสารตกค้าง
  • กำจัดแมลงหวี่ด้วยเชือกงานนี้เราใช้เชือกสีขาวๆ เท่านั้น นำมาผูกกับราว หรือ ตามยาวลงมา แมลงหวี่จะบินไปเกาะ ไม่มาตัวเดียวด้วย ชวนกันมา จากนั้นก็นำน้ำมันเครื่อง น้ำมันก๊าซ หรือ น้ำมัน พืช น้ำมันหมู มาใส่ภาชนะ แล้วมาเคลือบที่เชือกเพื่อจับแมลงหวี่ มันจะติดบินไปใหนไม่ได้แล้ว
  • ควันกาบมะพร้าว กับ เครือกระทกรกแมลงหวี่ไม่ชอบกลิ่นกาบมะพร้าว กับเครือกระทกรกที่ตากแห้งแล้วเอามามัดจุดไฟให้เกิดควัน จะหนีไปไม่กลับมาอีก
  • กำจัดแมลงหวี่โดยใช้ใบหางนกยูงไล่แมลงหวี่แบบธรรมชาติ เพียงนำก้านของใบหางนกยูงมาใส่ไว้บนแจกันบนโต๊ะทำงาน หรือตรงที่มารบกวน แมลงหวี่นั้นไม่ชอบกลิ่นของใบหางนกยูง
  • กำจัดแมลงหวี่ด้วยดอกดาวเรือง ให้เด็ดดอกดาวเรืองมาแช่ในน้ำ ทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นก็เอาน้ำที่ได้มารดบริเวณที่มีแมลงหวี่ รับรองได้ว่าเพียงไม่กี่วันแมลงหวี่จะหนีหายไปจากที่นั่น พร้อมกำจัดทั้งไข่ของแมลงหวี่
แหล่งที่มา:www.sanook.com